
ค่า SPF&PA ใน “ครีมกันแดด” คืออะไร? รู้ไว้ก่อนเลือกผลิต
อากาศช่วงนี้เอาแน่นอนไม่ได้เลย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก หน้าร้อนก็ร้อนแบบสุด ๆ จะออกไปเที่ยวข้างนอกก็กลัวผิวจะหมองคล้ำ อยากสวยท้าแดดแบบนี้ ต้องพึ่งครีมกันแดดแล้วไหม? เพราะ รังสี UV ที่มาจากแสงแดดอาจทำให้ผิวเราเสียได้
แต่เดี๋ยวก่อน…ก่อนจะไปเลือกครีมกันแดด วันนี้ เซน ไบโอเทค จะชวนขาลุยมารู้จักกับวิธีเลือก “ครีมกันแดด” ที่ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการปกป้องผิวจากรังสี UV พร้อมทำความเข้าใจเรื่องค่า SPF และ PA ว่าทำไมถึงมีส่วนช่วยในการปกป้องผิว แล้วเราควรเลือกครีมกันแดดยังไงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ดีล่ะ?
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า รังสี UV จากดวงอาทิตย์มี 3 แบบ
-
UVA – รังสียูวีเอ มีความยาวคลื่น320-400นาโนมิเตอร์ เป็นรังสีที่รุนแรง เพราะมันสามารถซึมผ่านผิวหนัง ชั้นหนังแท้ได้มากกว่า UVB และก็เป็นตัวที่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ทำลายเซลล์ผิว ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย และยังมีปริมาณมากกว่า รังสี UBV ถึง 10 เท่า
-
UVB – รังสียูวีบี มีความยาวคลื่น 290-320นาโนมิเตอร์ สามารถเข้าถึงชั้นหนังกำพร้า และทำร้ายผิวได้ทันที ทำให้เกิดอาการแห้ง แสบ คัน
-
UVC – ตัวนี้อาจจะไม่เคยได้ยินเพราะมันเป็นรังสีที่มีช่วงความถี่ต่ำ และไม่สามารถผ่านเข้ามายังชั้นบรรยากาศของโลกได้ เพราะฉะนั้นคนจึงไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่
ค่า SPF กับค่า PA อันไหนดีกว่ากัน?
?SPF เอาไว้ป้องกันรังสี UVB ผิวไม่แดงเบิร์น ป้องกันความหมองคล้ำ
?PA เอาไว้ป้องกันรังสี UVA แอนตี้รอยย่น ผิวไม่แก่ก่อนวัย
จริงๆแล้วทั้งสองอย่างคุณสมบัติการป้องกันแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องเลือกครีมกันแดดที่มีทั้ง SPF กับค่า PA นั่นเอง
แล้ว! เราควรจะใช้ครีมกันแดด ที่มีค่า PA เท่าไหร่ถึงจะช่วยป้องกันแสงแดดและแสงต่างๆได้ดี?
-
PA+ สาวออฟฟิศธรรมดา ใช้ค่าเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
-
PA++ สำหรับคนที่ต้องออกไปทำงานกลางแจ้ง หรือออกแดดมากกว่าปกติ
-
PA+++ คนที่ต้องไปเที่ยวทะเล โดนแสงและแดดทั้งวันนานๆ